วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554


วิธีการก่อสร้างสะพานแบบ BALANCE CANTILEVER

โดย

ดรบวรพันธุ์ วงศ์อนันต์

FREYSSINET (THAILAND) Ltd.

วิธีการก่อสร้างแบบ Balance Cantilever

บทนำ


วิธีการก่อสร้างแบบ Balance Cantilever ได้รับความนิยมภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ หลัง 

จากสะพานหลายแห่งได้ถูกทำลายลงจากสงคราม 
ประกอบกับการพัฒนาเทคโนโลยีด้านคอนกรีตอัดแรงเป็นผลให้วิธีการก่อสร้าง ประเภทนี้ถูกใช้
นำมาก่อสร้างบ่อยครั้ง

Image
 

วิธีการก่อสร้างสะพานแบบดังกล่าวจะมีลักษณะการก่อสร้างเพิ่มส่วนยื่นออกไป ทั้งสองข้าง 

โดยในแต่ละส่วนที่ยื่นออกไป จะมีการดึงลวดอัดแรง
 เพื่อต้านกับน้ำหนักของส่วนยื่น เมื่อขั้นตอนการก่อสร้างถึงช่วงหล่อชิ้นสุดท้าย ก็จะทำการดึงลวดช่วงกลาง
 เพื่อรับน้ำหนักที่เกิดจากโครงสร้างต่อเนื่อง
 (ดังแสดงในรูปที่ และรูปที่ 2)
Image

รูปที่ แสดงวิธีการก่อสร้างแบบ Balance Cantilever

Image
รูปที่ แสดงวิธีการก่อสร้างช่วงสุดท้าย
ข้อดีของการก่อสร้างสะพานด้วยวิธี Balance Cantilever มีหลายประการเช่น
- ไม่ต้องการนั่งร้านค้ำยัน (Scaffolding) ที่ต้องใช้ค้ำจากระดับพื้นล่าง ซึ่งเหมาะสำหรับในกรณีเป็นสะพาน
ข้ามแม่น้ำหรือข้าม
ถนนที่มีการจราจรหนาแน่น
- ลดปริมาณการใช้แบบหล่อคอนกรีต (Formworks) และนั่งร้านค้ำยัน (Scaffolding) เนื่องจาก
การหล่อคอนกรีตทำครั้งละชิ้นส่วน (Segment) และใช้แบบหล่อซ้ำได้อีก
- ประสิทธิภาพการทำงานดีกว่าเนื่องจากระบบการก่อสร้างเป็นแบบที่ซ้ำไปมา ซึ่งจะทำให้คนงานมีความ
ชำนาญมากขึ้นตามระยะเวลา
- การก่อสร้างสามารถก่อสร้างได้หลายช่วงพร้อมๆ กัน

ในปัจจุบันการก่อสร้างสะพานที่นิยมใช้ขึ้นกับช่วงความยาวสะพาน จากสถิติที่เก็บรวบรวมมาจัดแบ่งวิธีการก่อสร้าง

ได้ดังนี้

Image
รูปที่ 3 แสดงชนิดสะพานกับช่วงความยาวสะพานที่เหมาะสม
หลักการและแนวคิด (CONCEPT)
ลักษณะการก่อสร้างด้วยวิธี Balance Cantilever มีส่วนประกอบของโครงสร้างที่สำคัญดังนี้
1. ชิ้นส่วนของคอนกรีต
- Pier segment คือ ชิ้นส่วนของคอนกรีตที่อยู่บริเวณหัวเสา
- Segment คือ ชิ้นส่วนของคอนกรีตทั่วไปที่หล่อยื่นออกจากบริเวณหัวเสา
- Closure pour คือชิ้นส่วนของคอนกรีตที่ตำแหน่งหล่อช่วงเชื่อมต่อสุดท้าย
2. ลวดอัดแรง (ดังแสดงในรูปที่ 4)
- Cantilever cables คือลวดที่ใช้เพื่อรับแรงจาก moment ลบที่ช่วงหัวเสาโดยเฉพาะ 
ช่วงก่อสร้างที่มีการยื่นของสะพานมากๆ
- Span cables คือลวดที่เสริมในช่วงกลางสะพานเพื่อรับ moment บวกที่เกิดหลังจากที่มี
การต่อเชื่อมช่วงกลาง (Closure segment) แล้ว
- Continuity cables คือลวดที่ยาวต่อเนื่อง เพื่อเสริมให้โครงสร้างมีพฤติกรรมแบบคานต่อเนื่อง
3. ชิ้นส่วนของโครงสร้างพิเศษที่ใช้ในการก่อสร้าง
- Traveller Formwork
- นั่งร้าน (Scaffolding)
- Closure beam
- Temporary Pier

Image
รูปที่ 
แสดงตำแหน่งของลวดอัดแรง
วิธีการก่อสร้างด้วย Balance Cantilever จัดได้เป็น ประเภทตามลักษณะของวิธีการยื่นของโครงสร้าง
- วิธีสมมาตร (Symmetrical Method) จะทำการก่อสร้างยื่นทั้ง ข้าง พร้อมๆ กัน 
วิธีนี้จะง่ายในขั้นตอนการออกแบบ แต่ในขั้นตอนการทำงานแล้วจะต้องการกำลังคนและ
อุปกรณ์ในการทำงานในเวลาเดียว กัน และต้องการพื้นที่บริเวณหัวเสามากพอที่จะ
ติดตั้งFormwork Traveller ทั้ง 2 ตัวได้ในเวลาเดียวกัน

วิธีอสมมาตร (Asymmetrical Method) จะ ทำการก่อสร้างยื่นทีละข้าง เพื่อลดพื้นที่การทำงานบริเวณ
หัวเสาและกระจายการทำงานและแรงงานออกไปไม่ พร้อมๆกัน แต่ในการออกแบบจะต้องคำนึงถึงแนว


Image


การเสริมลวดอัดแรงและน้ำหนักที่ก่อสร้างไม่ พร้อมกันนี้ด้วย


รูปที่ แสดงวิธีการก่อสร้าง


การวิเคราะห์โครงสร้างและผลจากการก่อสร้างในแต่ละช่วงเวลา


เนื่อง จากการก่อสร้างจะทำการหล่อชิ้นส่วนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในแต่ละชิ้นส่วนก็จะทำการอัดแรง 
ทำให้หน่วยแรงที่วิเคราะห์จะต้องพิจารณาผลการอัดแรงที่มีอยู่ในโครงสร้าง เดิม บวกกับการอัดแรงครั้งใหม่
จึงจะได้หน่วยแรงลัพธ์สุดท้ายที่หน้าตัดนั้นๆ ซึ่งเมื่อทำการก่อสร้างเพิ่มส่วนยื่นไปเรื่อยๆจนถึงส่วนของ
การหล่อชิ้นส่วน หล่อปิด (Closure pour) และทำการดึงลวดอัดแรงของลวดช่วงกลาง (Span Tendons) ทำ
 ให้โครงสร้างเปลี่ยนสภาพจากช่วงยื่นเป็นช่วงต่อเนื่องใช้รับน้ำหนักที่สภาวะ ใช้งาน ดังนั้นการวิเคราะห์
โครงสร้างจะต้องคำนึงถึงผลดังกล่าวในการคำนวณ เพราะค่าหน่วยแรงที่เกิดขึ้นในขั้นตอนการก่อสร้าง 
อาจมีค่าวิกฤติกว่าในสภาวะการใช้งานก็เป็นได้
การวิเคราะห์และออกแบบ
การวิเคราะห์โครงสร้างของวิธีการก่อสร้างด้วย Balance Cantilever จะ พิจารณาถึงสภาพการก่อสร้างซึ่งค่อยๆ 
เพิ่มส่วนยื่นตามเวลา ซึ่งสภาพน้ำหนักที่กระทำต่อตัวโครงสร้างจะเปลี่ยนไปตามสภาพโครงสร้างด้วย เช่น 
ตำแหน่งของน้ำหนักจาก Traveller, น้ำหนักของชิ้นส่วน ที่เทใหม่ เป็นต้น จากสภาพน้ำหนักที่แตกต่างกัน 
ในแต่ละช่วงเวลานี้ เป็นผลให้ในการออกแบบจะต้องพิจารณาสภาพของการก่อสร้างและช่วงเวลาที่ใช้ใน 
การก่อสร้างโดยละเอียด โดยคำนึงถึงผลการเสียรูปอันเนื่องมาจาก Creep และ Shrinkage ของคอนกรีตด้วย
นอก จากการก่อสร้างที่เวลาต่างๆ จะมีผลกับน้ำหนักที่กระทำและหน่วยแรงที่เกิดขึ้นแล้ว ในส่วนของตัว
โครงสร้างคอนกรีตอัดแรง แรงในลวดอัดแรงก็จะมีการสูญเสียไปตามเวลาเช่นกัน สาเหตุของแรงในลวดที่
สูญเสียไปตามเวลาคือ Creep, Shrinkage, Relaxation, Elastic Shortening ซึ่งจะต้องนำมาพิจารณาด้วย
จำนวนและตำแหน่งลวด

จากผลการวิเคราะห์โครงสร้างเมื่อรวมผลของเวลาและขั้นตอนการก่อสร้างมาพิจารณาแล้ว
 การ
ให้จำนวนและตำแหน่งลวดจะขึ้นอยู่กับ Moment Diagram ซึ่งแนวทางการจัดลวดจะเป็นไป
าม Moment Diagram ดังกล่าว ดังแสดงในรูปที่ 6


Image


รูปที่ 6 แสดงการจัดลวดกับ Moment ที่เกิดขึ้น


เสถียรภาพของโครงสร้าง

การก่อสร้างด้วยวิธี Balance Cantilever นี้ เสถียรภาพของโครงสร้างเป็นสิ่งสำคัญโดยเฉพาะการ
ขาดสมดุล (Overturning)
จากสภาพน้ำหนัก ที่เกิดขึ้นไม่เท่ากันทั้งสองข้าง สภาพน้ำหนักที่เกิดจะต้องพิจารณามีดังนี้
- ผลแตกต่างของน้ำหนักโครงสร้างที่ตั้งสมมุติฐานไว้กับการก่อสร้างจริง
- ผลของน้ำหนักของตัวโครงสร้างกรณีที่ก่อสร้างด้วยวิธี อสมมาตร (Asymmetrical)
- ผลของน้ำหนักที่กระทำจากอุปกรณ์การก่อสร้างที่รู้ตำแหน่งแน่นอน เช่น Formwork Traveller
- ผลของน้ำหนักที่กระทำจากการก่อสร้างที่มีการเคลื่อนย้าย เช่น วัสดุเครื่องมือคน ซึ่งจะต้อง
พิจารณาเป็นกรณีไป
- แรงลม
- สภาวะที่รับน้ำหนักมากขึ้น เนื่องจากผลของแรงกระแทก (Impact Effect)
หากผลของการพิจารณาพบว่าโครงสร้างไม่เสถียรภาพแล้ว จึงจำเป็นต้องเสริมเสถียรภาพของ
โครงสร้างด้วยวิธีต่าง ๆ ดังแสดงในรูปที่ 8

Image

รูปที่
 7 แสดงแรงที่กระทำกับโครงสร้างเพื่อพิจารณาเสถียรภาพ

Image

รูปที่
 8 แสดงวิธีการเสริมเสถียรภาพของโครงสร้าง


ค่าการโก่งตัว

ค่าการโก่งตัวของวิธี Balance Cantilever จะ มีลักษณะโก่งลง เมื่อมีน้ำหนักจากการก่อสร้าง
 และจากน้ำหนักของคอนกรีตส่วนที่หล่อใหม่
 แต่จะโก่งตัวขึ้นเมื่อมีการอัดแรง นอกจากนี้ผลจากการทรุดของฐานรากก็มีผลต่อระดับสะพานเช่นกัน 
ผลดังกล่าวจะเกิดการโก่งตัวเช่นนี้ซ้ำซ้อน 
จนกระทั่งถึงช่วงที่หล่อ Closure Pourซึ่งจะต้องให้ระดับที่ทำมาจาก 2 ฝั่งมีค่าใกล้เคียงกันเพื่อหล่อส่วน
ปิดนี้ได้
ดัง นั้นการคำนวณค่าการโก่งตัวโดยละเอียดจึงจำเป็น เพื่อคาดการณ์ค่าการโก่งตัวให้รูปร่างของสะพาน
ได้ตามที่ต้องการในสภาพใช้งาน
 การวัดค่าการโก่งตัวของแต่ละช่วงที่อัดแรง จะใช้เฝ้าดูแนวโน้มการโก่งตัวที่เกิดขึ้นจริงกับการโก่งตัวที่
ได้จากการ คำนวณ เพื่อนำไปปรับระดับแบบหล่อ 
ในการหล่อชิ้น (Segment) ต่อไป จนกระทั่งสามารถทำให้ระดับช่วงชิ้นส่วนหล่อปิด (Closure Pour)
มีค่าใกล้เคียงกันทั้ง ข้างให้มากที่สุด

การวัดและการตรวจสอบการก่อสร้าง

การ วัดและการตรวจสอบการก่อสร้างเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้ควบคุมการก่อสร้างต้องให้ ความสำคัญ
 เนื่องจากจะมีผลถึงลักษณะรูปร่างของสะพาน ความปลอดภัยในระหว่างการก่อสร้าง และความแข็งแรงของ
โครงสร้างในสภาวะใช้งาน
 วิศวกรและผู้ปฏิบัติงานควรจะมีประสบการณ์และเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ
 จุดที่ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษในการควบคุมการก่อสร้าง ของสะพาน มี จุด ที่สำคัญดังนี้
1. Traveller แบ่งเป็นแต่ละช่วงการทำงานดังนี้
ขั้นตอนการติดตั้ง ควรตรวจสอบตำแหน่งของ Tie Down ต่างๆ การยึดโยงกันเซ (Bracing) ระดับล้อ
 ระดับราง ชิ้นส่วนหิ้ว (Hanger) แบบหล่อต่างๆ
ขั้นตอนการหล่อชิ้นส่วน ควรตรวจสอบระดับการหล่อตามแบบที่ให้ระดับไว้ 
ตาม Casting Curve
ขั้นตอนการเลื่อน ควรตรวจสอบว่า ได้ยึดรางอย่างถูกต้องเพียงพอและได้ถอด
ชิ้นส่วนแบบให้หลุดพ้นจากคอนกรีตเดิม
 ก่อนทำการเลื่อน
ในทุกขั้นตอนจะต้องมีรายการตรวจสอบ (Check List) เพื่อให้มั่นใจว่าได้ปฏิบัติครบทุก
ขั้นตอนอย่างถูกต้อง
2. ระดับ ของสะพาน การคำนวณระดับของสะพานถึงจะคำนวณโดยละเอียดแล้ว แต่ในสภาพจริง
อาจไม่ตรงกับสมมติฐานที่ใช้ 
การวัดระดับตรวจสอบในแต่ละขั้นตอนจึงเป็นข้อมูลที่สำคัญ เพื่อใช้ในการปรับแก้ค่าสมมุติฐานที่ใช้ในการ
คำนวณเพื่อให้ระดับของสะพานให้
 มีรูปร่างตามที่ต้องการ
รายละเอียดของแบบก่อสร้าง (Detailing)
การให้รายละเอียดตำแหน่งของลวด จะต้องพิจารณาประกอบไปกับช่องเปิดท่อ (Sleeve) ต่างๆ ซึ่งจะมีไว้สำหรับ
การยึด Traveller และเหล็กเสริมต่างๆ โดยเฉพาะในแนว Web ที่อาจจะมาตัดกับแนวลวดได้

ที่มา :   http://www.thaitca.or.th/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น